วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

การเปิดใจเป็นเรื่องสำคัญ

การเปิดใจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นประตูสู่ความสำเร็จ
บางคนไม่กล้าที่จะรับฟังความจริง
บางคนไม่ศึกษาหาข้อมูลให้เพียงพอก่อนการตัดสินใจ
บางคนก็ตัดสินใจเพราะคนจำนวนมากตัดสินใจยกย่องว่าดี
บางคนไม่สนใจได้ แต่เดินตามเขาไป
บางคนน่าเศร้าเพราะฟังความข้างเดียว
บางคนอยากพัฒนาแต่ไปผิดที่

บางคนสำเร็จ บางคนล้มเหลว บางคนทำได้
บางคนทำไม่ได้ บางคนไม่ได้ทำ
บางคนสำเร็จได้ด้วยดีเพราะ


มีวิธีจัดการที่ดี

หลักคิดที่ดี

สิ่งแวดล้อมที่ดี


และสุดท้ายความสำเร็จเริ่มได้ด้วยตัวคุณเอง

เลือกเรียนถูกที่มีชัยไปกว่าครึ่ง


อายุ 18 ปี กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีใบที่สอง ยังไม่ได้ประกอบอาชีพ
สาวน้อยที่เห็นบรรดาพี่ๆเรียนนิติศาสตร์แล้วรู้สึกอยากลองเรียนดูบ้างและลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เธอเรียนได้ดีทีเดียว โดย "นา" จบการศึกษาจบระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นที่ 33 และจบเนติบัณฑิตจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภารุ่นที่ 61 ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ สาขาการบัญชี
"เรียนม.รามกับโครงการ PRE DEGREE เหมือนพี่ ๆ ค่ะและใช้เวลาศึกษาทั้งหมดสามปี ขณะเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1-2 ก็ศึกษาระดับมัธยมปลายที่ ก.ศ.น.พร้อมกันไปด้วย จากนั้นก็ศึกษาต่อที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายเนติบัณฑิตยสภา ใช้ระยะเวลาศึกษา 1ปีครึ่งค่ะ" นาบอกเคล็ดลับในการเรียนของเธอว่าต้องอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่อ่านก่อนสอบเท่านั้นและต้องเข้าเรียนในห้องเรียนเป็นประจำด้วย เธอเล่าว่ามีคติในการเรียนอย่างหนึ่งที่นำมาใช้จนประสบความสำเร็จหากใครอยากจะนำไปใช้ก็ได้ไม่ว่ากันคือ "รากโคนของการเรียนนั้นมีรสขม หากแต่ส่วนผลนั้นหอมหวาน"
"สำหรับดิฉันคิดว่าการที่มีพี่เรียนที่เดียวกันคณะเดียวกันก็ดีตรงที่ว่าไม่เข้าใจอะไรก็มีพี่ไว้คอยปรึกษาได้การลงทะเบียนเรียนพี่ก็ช่วยดูว่าวิชาไหนควรลงเรียนก่อนหลังควรเตรียมตัวเรียนอย่างไรบ้าง ตอนนี้ก็จบเนติบัณฑิตแล้วอยากเรียนต่อปริญญาโท และถ้าจบโทต่อไปอาจทำงานในสายกฏหมายเพื่อเก็บอายุงานรอสอบผู้พิพากษาหรืออัยการเมื่ออายุครบ 25ปี ดิฉันคิดว่าสำหรับผู้หญิงแล้วก็ไม่มีอะไรต่างกับผู้ชายด้านการเรียนหรอกค่ะเพราะขึ้นอยู่กับว่าใครจะขยัน ใครจะไขว้คว้าหาความรู้ได้มากกว่ากัน และในปัจจุบันก็มีผู้พิพากษาหรืออัยการที่เป็นผู้หญิงอยู่มากซึ่งบางทีผู้หญิงก็อาจมีความรอบคอบมากกว่าผู้ชายอีกด้วย"สาวน้อยนักกฎหมายวัยเยาว์กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด


นิตยสารการศึกษาอัพเกรด ฉบับ 120

อายุน้อย จบเร็ว มีคุณภาพ ฉลาดเลือกเรียนแบบสุดๆ


อายุ 20 ปี นิติกรศาลอุทธรณ์แผนกงานรับฟ้อง ประจำศาลอุทธรณ์กลาง
"อ้น" บุตรสาวคนที่สามของครอบครัวและเป็นคนโตในจำนวนพี่น้องผู้หญิง จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นที่ 31 และจบนติบัณฑิตยจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา รุ่นที่ 60 ปัจจุบันกำลังรอผลการสอบสัมภาษณ์ เข้าศึกษาระดับปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ สาขาทรัพย์สินทางปัญญา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้รับใบอนุญาตประกออบวิชาชีพทนายความรุ่นที่ 28
ในวัยเด็กอ้นเรียนอนุบาลและประถมศึกษาที่โรงเรียนปฐมพรพิทยา ผลการเรียนแค่พอใช้อยู่ในเกณฑ์ธรรมดา หลังจากนั้นก็เข้ามัธยมที่โรงเรียนวิเศษสมุทคุณพร้อมกับตอนนั้นคุณพ่อได้เรียนที่ ก.ศ.น จึงได้ไปสมัครเรียนพร้อมกับคุณพ่อด้วย พอได้วุฒิม. 3ของ ก.ศ.น แล้วจึงตัดสินใจออกจากมัธยมสองที่โรงเรียนวิเศษฯ พร้อมกับนำวุฒิ ม.3ไปสมัครเรียนระบบ NON-DEGREE (ปัจจุบันเรียก PRE-DEGREE) ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ โดยเรียนไปพร้อมๆกับเรียนมัธยมปลายที่ก.ศ.นในวันอาทิตย์ ซึ่งวันจันทร์-ศุกร์ส่วนใหญ่ก็มาเข้าฟังคำบรรยายที่ม.รามคำแหง พอเรียนจบม.ปลายที่ ก.ศ.นจึงได้นำวุฒิม.ปลายมาเทียบโอนหน่วยกิตที่รามคำแหงและเรียนต่ออีกหนึ่งซัมเมอร์ก็สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 2)โดยใช้เวลาศึกษาเพียง 3 ปี หลังจากนั้นก็ศึกษาต่อที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา จบเป็นเนติบัณฑิตไทยสมัยที่ 60
"อ้นคิดว่านิติศาสตร์เป็นสาขาที่ปัจจุบันมีคนใฝ่รู้มากขึ้น และนำไปปรับใช้ได้อย่างกว้างขวางกว่าสาขาอื่นๆ และทำให้มีความเพียร ความขยัน ความอดทน ความมีเหตุผลด้วยและที่สำคัญให้อนาคตที่สดใสแก่เราจึงตัดสินใจเลือกเรียนสาขานี้โดยใช้เวลาเรียนปริญญาตรีนิติศาสตร์สามปี สำหรับคนที่เลือกเรียนนิติศาลตร์อ้นอยากแนะนำว่าคุณไม่ต้องเป็นคนเก่งแค่เพียงเป็นคนขยันสม่ำเสมอ อดทน และมีความเพียรแค่นี้อนาคตที่ใฝ่ฝันก็จะเป็นจริงค่ะ"
สาวอ้นวางแผนไว้ว่าอยากทำงานหาประสบการณ์ไปก่อนพร้อมกับเรียนระดับปริญญาโทไปพร้อมกัน แต่เมื่อใดที่เธออายุค

ฉลาดคิดฉลาดเลือก


อายุ 21 ปี นิติกรอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
กองคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือกฏหมายแก่ประชาชนฝ่ายอัยการพิเศษฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภค แฝดผู้น้อง จบการศึกษาจบระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นที่ 32 และจบเนติบัณฑิตจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา รุ่นที่ 60 ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารงานยุติธรรมและกำลังรอผลการสอบสัมภาษณ์เข้าศึกษาระดับปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ สาขาทรัพย์สินทางปัญญา มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความรุ่นที่ 29
ถึงหนึ่งแฝดผู้พี่จะเป็นคนใจร้อน แต่สองแฝดผู้น้องคนนี้กลับเป็นคนใจเย็น ชอบสังเกต ชอบหาเหตุผล สองกับหนึ่งเติบโตมาพร้อมๆ กันจึงเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยเหตุผลเดียวกัน โดยที่สองใช้เวลาศึกษาเพียงแค่สามปีครึ่ง และเมื่อจบนิติศาสตร์จากม.รามฯ ก็เรียนเนติบัณฑิตต่อเช่นกัน จากนั้นจึงสอบเป็น "ทนายความ" จนกระทั่งสำนักงานอัยการเปิดรับสมัครนิติกรผู้ช่วยพนักงานอัยการ สองจึงสอบเข้ามาเป็นนิติกรอัยการเพื่อหาประสบการณ์ในการทำงานก่อน
"การจะเรียนนิติศาสตร์ได้ควรมีความตั้งใจและควรหาเพื่อนเรียนเพราะเวลามีปัญหาจะได้ช่วยกัน ถ้ามีกลุ่มได้พูดคุยกันจะทำให้เรียนได้ดีการทำงานเป็นนิติกรคือมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของสำนวน การผัดฟ้องฝากขัง การสอบพยานและจดบันทึกคำพยาน การนัดหมายพยาน เตรียมพยานการติดตามพยานพร้อมติดตามผลการส่งหมาย การคัดคำสั่งคำพิพากษา ช่วยวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในสำนวนจัดทำและยื่นคำฟ้อง คำให้การ คำคู่ความ และบัญชีพยาน ติดตามคดีและทำรายงานคดี สรุปความเห็นเสนอพนักงานอัยการ ช่วยร่างคำฟ้องคำให้การ คำแก้อุทธรณ์ คำแก้ฎีกา คู่ความ คำร้อง คำขอ คำแถลงต่างๆฯลฯ หากจะทำงานตำแหน่งนี้คุณสมบัติคือคุณต้องจบศึกษาที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตสภาเสียก่อน แล้วต่อไปก็สามารถสอบเป็นข้าราชการตุลาการ เช่น ผู้พิพากษา หรือพนักงานอัยการได้"
ถึงจะเป็นคู่แฝดกันแต่ชีวิตก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันซะทีเดียวนัก เพราะเป้าหมายอนาคตของสองคือการเป็นผู้พิพากษาหรือพนักงานอัยการในอนาคตซึ่งคติที่เขาใช้อยู่เสมอคือจุดมุ่งหมายข้างหน้าขึ้นอยู่กับการกระทำในวันนี้

คิดไม่ธรรมดา เลือกเรียนก็ไม่ธรรมดา


อายุ 21 ปี พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.หนองแขม
หนึ่งเป็นพี่ชายคนโตแฝดผู้พี่ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นที่ 32 และจบเนติบัณฑิต จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา รุ่นที่ 59 ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารงานยุติธรรมกับระดับปริญญาโทคณะนิติศาสตร์ สาขากฎหมายธุรกิจและเอกชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ตำรวจหนุ่มวัย 21 เล่าว่า เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงก็เพราะเห็นว่ามีโครงการ PRE DEGREE ใช้เวลาเรียนสี่ปีพร้อม ๆ กับการเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายควบคู่ไปด้วย หลังจากเรียนจบนิติศาสตร์ที่ม.รามฯ แล้วจึงเรียนเนติบัณฑิตต่อทันทีเพราะคิดว่าควรจะเรียนให้มากที่สุดก่อนที่จะทำงาน หลังจบเนติ ฯ แล้วหนึ่งช่วยทางบ้านทำงานประมาณหกเดือนก่อนแล้วจึงสอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจ
"ผมสนใจด้านกฎหมายเป็นพิเศษ เพราะเห็นว่านิติศาสตร์เป็นวิชาที่มีประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม การเป็นตำรวจและพนักงานสอบสวนนอกจากจะมีหน้าที่เกี่ยวกับการทำคดีสั่งฟ้องผู้ต้องหา และการเข้าเวรแล้ว ยังต้องให้คำปรึกษาทางด้านข้อกฎหมายกับประชาชนที่เดือดร้อนที่ต้องการคำปรึกษาทั้งทางแพ่งและอาญาอีกด้วย หากใครคิดว่าตำรวจต้องทำคดีอาญาอย่างเดียว ผมว่าคิดผิด เพราะตำรวจต้องมีความรู้รอบด้านไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญา แม้กระทั่งกระบวนพิจารณาคดีในศาล ก็ต้องสามารถให้คำปรึกษากับประชาชนได้"
"และการเป็นตำรวจใช่ว่าจะดูดี หรืองานสบาย ผมบอกตรงนี้ได้เลยว่าไม่ใช่ เพราะการจะทำงานในสายนี้ได้ คุณต้องมีการเสียสละทางด้านเวลาส่วนตัวสูงมาก งานที่ทำไม่ใช่เฉพาะต้องเข้าเวรมาเช้าเย็นกลับ แต่ต้องคอยสลับเปลี่ยนกันเพราะตำรวจทำงาน 24 ช.ม. ไม่มีวันหยุด ต้องปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลาแม้จะเป็นเวลาพักผ่อนก็ตาม แม้แต่หลังจากออกจากเวรแล้วยังต้องตามสะสางงานที่รับมาจากตอนที่เข้าเวรด้วย และถ้ามีเหตุด่วนอะไร เราจะต้องพร้อมเสมอ"
ถึงแม้อนาคตหนึ่งวางแผนไว้ว่าอยากทำธุรกิจส่วนตัวแบบคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจมากกับอาชีพตำรวจก็คือการที่คอยแก้ไขและช่วยเหลือประชาชนมาตลอดนั้นเป็นงานที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่าในชีวิตมากที่สุด

ตัวอย่างของผู้สำเร็จการศึกษาแบบไม่ธรรมดาสุดๆ


หากจะมองหาสักครอบครัวหนึ่งครอบครัวใดที่มีพี่น้องท้องเดียวกันเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน ประกอบอาชีพคล้ายๆกันและอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ คงจะหาไม่ง่ายนัก เพราะต่างคนต่างความคิด ต่างจิตต่างใจ ไม่ค่อยมีใครอยากเหมือนใครมักจะพยายามทำสิ่งที่แตกต่างกันตามความชอบและความถนัดของแต่ละคน ซึ่งต่างจากครอบครัวของ "รุ่งเรืองศุภรัตน์"
ครอบครัวใหญ่พื้นเพชาวสมุทรสาครที่พี่น้องทุกคนเลือกเรียน มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ เหมือนกัน โดยเข้าเรียนกับโครงการ PRE DEGREE หรือหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสามารถเรียนในระดับปริญญาตรีได้เร็วกว่าปกติจนกระทั่งจบการศึกษาและประสบความสำเร็จในอาชีพอย่างงดงามทุกคน ทั้งนี้เพราะได้แรงบันดาลใจจากคำแนะนำของคุณพ่อที่เคยกล่าวไว้กับลูก ๆ ว่า "การดำเนินชีวิตในสังคมไม่ว่าจะด้านใด ก็ต้องสัมผัสกับกฎหมาย อย่างน้อยจึงควรจะรู้ไว้เพื่อดูแลตัวเอง" เสมือนเป็นการจุดประกายให้ลูก ๆ หันมาศึกษาวิชากฎหมายกันอย่างจริงจัง โดยมีพื้นฐานจากความสนใจของแต่ละคนอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น วันนี้จึงเกิด "ครอบครัวแห่งวงการนักกฎหมาย" ขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นอาชีพตำรวจ นิติกร อัยการ หรือผู้พิพากษาก็ล้วนอยู่แต่ในครอบครัวนี้ทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความอบอุ่นของครอบครัวถ้ามีแต่ความความเข้าใจซึ่งกันและกันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

บุคคลผู้สำเร็จ การศึกษา pre dregree


 นายธงทอง นิพัทธรุจิ นิติศาสตรบัณฑิต ม.ร. จบการศึกษาด้วยระบบ Pre-Degree และ จบเนติบัณฑิตไทย สมัย 58 ด้วยอายุเพียง 20 ปี และปัจจุบันกำลังศึกษาปริญญาโท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แบบที่ 1 สิ่งดีๆ และโอกาสที่ผมได้รับ จากการเรียนระบบ Pre-Degree ล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่า ระบบ Pre-Degree ของ ม.ร. เป็นระบบที่มีคุณภาพ เป็นเส้นทางที่ดี และสามารถสร้างผม ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ได้ดังคำขวัญของมหาวิทยาลัยที่ว่า “เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง”
แบบที่ 2 “เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง” ผมไม่ได้คิดว่าเป็นเพียงตัวอักษร หรือตัวหนังสือเท่านั้น แต่เป็นคำที่มาจากความเป็นจริง เป็นคำที่ไม่มีวันตาย และเป็นคำที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า นักศึกษาที่จบเป็นบัณฑิตจาก ม.ร. ล้วนเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม มีคุณภาพ ระบบการสอนเป็นเส้นทางที่ดี และสามารถนำความรู้ไปศึกษา ต่อในสถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณสมบัติของผู้สมัคร เป็น ว่าที่ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีอายุน้อยๆ

คุณสมบัติของผู้สมัคร
ระดับปริญญาตรี
1.สอบไล่ได้มัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าขึ้นไป (ม.ศ.5 หรือ ม.6) หรือ
2.สอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่า (ม.3 หรือ ม.ศ.3 หรือ ม.6 เดิม) และต้องมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
2.1 เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งมีตำแหน่งและเงินเดือนตั้งแต่ระดับ 2 หรือเทียบเท่าขึ้นไป หรือ
2.2 เป็น หรือเคยเป็นข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือลูกจ้างในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งได้ปฏิบัติงานมาแล้วรวมกันไม่น้อยกว่า 5 ปี
2.3 เป็น หรือเคยเป็นสมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเขต สมาชิกสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเทศบาล เป็น หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือกรรมการสุขาภิบาล โดยปฏิบัติหน้าที่มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี

Pre – Degree
(ศึกษารายกระบวนวิชาเพื่อเตรียมศึกษาระดับปริญญาตรี)
จบ ม.3 ขึ้นไปและมหาวิทยาลัยพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้เข้าศึกษาได้ เป็นการเรียนแบบสะสมหน่วยกิต เพื่อใช้เทียบโอนหน่วยกิต เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับ ม.6 ใช้ศึกษาปริญญาตรีต่อไปได้

หลักฐานการสมัคร(ถ่ายสำเนาฯ เท่ากับกระดาษ A 4)
1. สำเนาใบระเบียนแสดงผลการเรียน 2 ฉบับ
2. สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ 2 ฉบับ
3. ใบรับรองแพทย์ 1 ฉบับ (ตัวจริง)
4. สำเนาหลักฐานอื่นๆ เช่น ใบเปลี่ยนชื่อ-เปลี่ยนนามสกุล หนังสือแต่งตั้งยศ 2 ฉบับ
5. กรณีผู้สมัครใช้วุฒิ ม.3 หรือเทียบเท่าต้องมีหนังสือ รับรองการเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือ ลูกจ้างของรัฐจากผู้บังคับบัญชาระดับหัวหน้ากองหรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยระบุจำนวนปีที่ทำงานให้ชัดเจน (เฉพาะนักศึกษาปริญญาตรี)
6. รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว 3 รูป,1 นิ้ว 2 รูป (ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)
หมายเหตุ กรณีเทียบโอนหน่วยกิตใช้สำเนาเอกสาร 4 ฉบับ
วิธีการศึกษา จะเข้าหรือไม่เข้าชั้นเรียนที่จัดให้ก็ได้แต่มหาวิทยาลัยมีการบรรยายผ่านระบบ Video Conference ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 07.30 – 16.30 น. และในวันเสาร์ – อาทิตย์ มีการบรรยายสรุป(สด) อีกทั้งยังสามารถศึกษาได้ด้วยตนเองจากสื่อการสอนต่าง ๆ เช่น ตำราการบรรยาย , เอกสารประกอบการบรรยาย , การบริการบันทึกเทป คำบรรยาย และสื่อการเรียนการสอนทาง Internet ซึ่งจะมีทั้งตำราอิเล็กทรอนิกส์(e-Books),e-learning,วีดีโอ คำบรรยาย,การถ่ายทอดสดการบรรยายจากห้องเรียน เป็นต้น

อัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
1. ค่าธรรมเนียมแรกเข้าเป็นนักศึกษา 400.- บาท
2. ค่าขึ้นทะเบียนเป็นนักศึกษา 200.- บาท
3. ค่าบัตรประจำตัวนักศึกษา 160.- บาท
4. ค่าบำรุงมหาวิทยาลัย 150.- บาท
5. ค่าสมาชิกหนังสือพิมพ์ข่าวรามคำแหง 100.- บาท
6. ค่าบริการสื่อการสอนรวมค่าสื่อสารวิชาละ 100.- บาท
7. ค่าธรรมเนียมการสอบกระบวนวิชาละ 60.- บาท
8. ค่าลงทะเบียนเรียนหน่วยกิตละ 50.- บาท
(หมายเหตุ ค่าธรรมเนียมข้อ 1-3 ชำระครั้งเดียวในวันสมัคร ยกเว้นข้อ 3 หากต้องทำบัตรนศ.ใหม่ต้องชำระเพิ่มครั้งละ 100.-บาท)

สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
สาขาวิทยบริการฯ จังหวัดอุดรธานี
โทรศัพท์ 0 42-250063-4
โทรสาร 0 42-250043

กระแส "Pre-degree" ม.ราม พุ่งแรง เพิ่มสถิติว่าที่บัณฑิตใหม่วัยกระเตาะ

กระแส "Pre-degree" ม.ราม พุ่งแรง เพิ่มสถิติว่าที่บัณฑิตใหม่วัยกระเตาะ
ความนิยมสมัครเรียน Pre-degree ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงพุ่งสูงขึ้นทุกปี
โดยได้รับความสนใจจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศด้วยความเชื่อ
มั่นว่า ทำให้มีโอกาสเรียนจบมหาวิทยาลัยและมีงานทำก่อน
อีกทั้งยังศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้เร็วกว่าเกณฑ์ปกติด้วย
รองศาสตราจารย์คิม ไชยแสนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง
เปิดเผยว่า การศึกษาระบบ Pre-degree
ของม.ร.เป็นการให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนที่กำลังศึกษาในชั้นม.ปลาย
หรือ ผู้ที่สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้เรียนในมหาวิทยาลัยล่วงหน้า
เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การศึกษาระดับปริญญาตรีต่อไป
โดยผู้เรียนสามารถนำหน่วยกิตที่สะสมไว้มาเทียบโอน
เมื่อจบม.ปลายและสมัครเป็นนักศึกษารามคำแหง
ทำให้มีโอกาสเรียนจบปริญญาตรีเร็วขึ้นกว่าเกณฑ์ปกติ
จึงทำให้มีโอกาสที่ดีในชีวิตที่เรียนจบและมีงานทำก่อน
อีกทั้งยังสามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาโทได้เร็วกว่าผู้อื่นด้วย
"มี ตัวอย่างของนักเรียน Pre-degree
หลายรายที่สามารถสะสมหน่วยกิตได้เป็นจำนวนมาก
เมื่อจบม.ปลายและมาสมัครเป็นนักศึกษาก็เรียนอีกเพียง 1 ภาคการศึกษา
หรืออีก 1-2 ปีเท่านั้นก็สำเร็จปริญญาตรีในขณะที่มีอายุเพียง 18-19 ปี
และเป็นการจบอย่างมีคุณภาพด้วย เพราะบางรายก็เรียนต่อเนติฯ
และสอบเนติฯได้ขณะที่มีอายุ 19-20 ปีเท่านั้น
ขณะที่บางรายก็สอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อปริญญาโททั้งสถาบันการศึกษาภายใน
ประเทศและต่างประเทศ"
อธิการบดี ม.ร. กล่าวเสริมว่า จากความสำเร็จของการเรียนแบบ
Pre-degree ที่มีตัวอย่างให้เห็นเด่นชัด
ทำให้ความนิยมของเยาวชนที่สมัครเรียน Pre-degree มีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี
จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2537 มีผู้สมัครเรียน Pre-degree เพียง 349 คน
ถึงปี 2550 มีจำนวนเพิ่มถึง 10,843 คน และปีล่าสุดที่ผ่านมา (2551)
มีผู้เรียน Pre-degree สูงถึง 11,094 คน
และเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักเรียนชั้นม.ปลายสมัครเรียน Pre-degree
เพิ่มขึ้นทุกปี
"ขอ เป็นกำลังใจให้นักเรียนที่จะมาเรียน Pre-degree ที่รามคำแหง
เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่เยาวชนจะได้ใช้เวลาว่างจากการเรียนที่โรงเรียนมา
ศึกษาวิชาต่างๆ ในระดับปริญญาตรีล่วงหน้า
ซึ่งเรียกว่าไม่เกินความสามารถของผู้สนใจใฝ่หาความรู้
อีกทั้งยังช่วยเสริมให้การเรียนม.ปลายมีผลการเรียนที่ดีขึ้นอีกด้วย"
พัชรมัย รุ่งเรืองศุภรัตน์ ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ รุ่น 33
จากโครงการ Pre-degree เล่าว่า สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นจาก กศน.
ตอนอายุ 13 ปี จากนั้นใช้วุฒิมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงพร้อมกับเรียนต่อในระดับ
มัธยมศึกษาตอนปลายของกศน. จนถึงปี 2550 สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี
นิติศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยวัยเพียง 16 ปี
จากนั้นศึกษาต่อ ณ สถาบันสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตสภาด้วยวัย
18 ปี ปัจจุบันศึกษาในระดับปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ สาขากฏหมายภาษีอากร
"ใช้ เวลาเรียนเพียง 3 ปี ก็จบปริญญาตรีแล้ว ซึ่งเร็วกว่าเพื่อนๆ
ที่อายุใกล้เคียงกัน โครงการ Pre-degree ได้มอบสิ่งดีๆ
และโอกาสให้น้องม.ปลาย หรือเทียบเท่า
สามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้ก่อนใคร
และจบปริญญาตรีด้วยวัยเพียง 18-19 เท่านั้น
อีกทั้งยังสามารถเรียนต่อในปริญญาโท หรือคณะอื่นได้เร็วกว่าวัยปกติ"

ที่มาของตำนาน ผู้สำเร็จการศึกษา pre degree รามคำแหง

ที่มาของตำนาน ผู้สำเร็จการศึกษา pre degree รามาคำแหง

Per-degree ให้ม.ปลายเรียนมหา’ลัยล่วงหน้า


รามคำแหงเปิดหลักสูตร Per-degree ให้นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ลงทะเบียนเรียนมหาวิทยาลัยได้ล่วงหน้า พอจบม.6 สามารถเรียนจบปริญญาตรีได้ภายใน 1-2 ปีเท่านั้น อธิการบดีรามคำแหงย้ำเชื่อในระบบ Per-degree จะสร้างโอกาสที่ดีแก่ประชาชน ทำให้เรียนจบมหาวิทยาลัยและมีงานทำก่อน อีกทั้งยังศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้เร็วกว่าเกณฑ์ปกติด้วย

รองศาสตราจารย์คิม ไชยแสนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการศึกษาระบบ Pre-degree ของ ม.ร. ว่า เป็นการให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนที่กำลังศึกษาในชั้น ม.ปลาย ที่มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียนได้เรียนในมหาวิทยาลัยล่วงหน้า และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การศึกษาระดับปริญญาตรีต่อไป ทำให้ผู้ศึกษาระบบ Per-degree สามารถสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีได้เร็วขึ้นกว่าเกณฑ์ปกติแทนที่จะเรียน 4 ปี ก็อาจจะใช้เวลาเรียนในมหาวิทยาลัยเพียง 1-2 ปีก็จบได้ เพราะสามารถนำหน่วยกิจที่สะสมไว้ในขณะเรียนชั้น ม.ปลายมาเทียบโอนได้เมื่อสมัครเป็นนักศึกษาหลังจบ ม.ปลายแล้ว
“รามคำแหงเปิด Per-degree ขึ้นมาเพื่อต้องการสนับสนุนให้เยาวชนที่มีความสามารถและศักยภาพได้มีโอกาสทางด้านการศึกษา โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาหรือสถานที่เมื่อเขามีความสนใจใฝ่เรียน ก็มีโอกาสได้เรียนจากระบบ Per-degree ของรามคำแหง ซึ่งการเรียนในระบบนี้นอกจากจะมีโอกาสสำเร็จการศึกษาก่อนยังมีโอกาสเข้าสู่วิชาชีพก่อนผู้อื่นที่เรียนตามเกณฑ์ปกติด้วย ทำให้ผู้ที่เรียน Per-degree มีโอกาสที่ดีในชีวิตที่เรียนจบและมีงานทำก่อนหรือสามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาโทได้เร็วกว่าผู้อื่น”
อธิการบดี ม.ร. ยังกล่าวยืนยันว่า ระบบ Per-degree ของรามคำแหงช่วยให้นักเรียนจบมหาวิทยาลัยเร็วขึ้น โดยมีตัวอย่างของนักเรียน Per-degree หลายราย ที่สามารถสะสมหน่วยกิจได้เป็นจำนวนมาก เมื่อจบชั้น ม.ปลาย และมาสมัครเป็นนักศึกษาก็เรียนอีกเพียง 1 ภาคการศึกษาหรืออีก 1-2 ปีเท่านั้น ก็สำเร็จปริญญาตรีในขณะที่มีอายุเพียง 18-19 ปี และเป็นการเรียนจบอย่างมีคุณภาพด้วย เพราะบางรายก็เรียนต่อเนติฯ และสอบเนติฯ ได้ ขณะที่มีอายุเพียง 20-21 ปี บางรายก็สอบคัดเลือกได้เข้าศึกษาต่อปริญญาโท ทั้งสถาบันภายในประเทศและต่างประเทศ
“ความสำเร็จของการศึกษา Per-degree ที่มีตัวอย่างให้เห็นเด่นชัดเช่นนี้ ทำให้มีเยาวชนสนใจเรียน Per-degree ที่รามคำแหงเป็นจำนวนมาก และนับจะมากขึ้นทุกปี ผมเองก็ดีใจแทนผู้ปกครองของนักเรียน Per-degree ที่ลูกหลานของเขาอายุ 18-19 ปี ก็จบมหาวิทยาลัยแล้ว จบเนติฯ หรือกำลังเรียนต่อในระดับปริญญาโทนับเป็นรางวัลตอบแทนเยาวชนที่ใฝ่ใจในการศึกษาและรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของตนเอง”
อธิการบดี ม.ร. กล่าวเสริมในตอนท้ายว่า ขอเป็นกำลังใจให้กับนักเรียนที่จะมาเรียน Per-degree ที่รามคำแหงว่า เป็นเรื่องที่ดีที่จะได้ใช้เวลาว่างจากการเรียนที่โรงเรียนมาศึกษาวิชาต่างๆ ในระดับปริญญาตรีล่วงหน้า และเชื่อมั่นว่าไม่เกินความสามารถของผู้ตั้งใจใฝ่ศึกษา รวมทั้งขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครเรียน Per-degree ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งสามารถเรียนได้ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ
อดีตอธิการบดีชี้สร้างคน-สร้างโอกาส

            รองศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดี ม.ร. และผู้ริเริ่มเปิดระบบ Pre-degree ที่ให้โอกาสนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย(ม.4-ม.6)เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงกล่าวว่า แนวคิดที่เปิดระบบนี้ให้นักเรียนนั้น เพราะต้องการให้นักเรียนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะเที่ยวเตร่เฮฮาประสาวัยรุ่น ก็ได้ใช้เวลาว่างมาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพราะความรู้หลายอย่างก็ต่อยอดจากวิชาที่เรียนอยู่แล้วในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
            “ระบบ Pre-degree ได้เป็นค่านิยมใหม่ที่น่ายินดีว่า นักเรียนนิยมมาเรียนกันมากขึ้น โดยเฉพาะนักเรียนต่างจังหวัดที่มาเรียนระบบนี้ ต่างบอกว่า นอกจากได้สะสมหน่วยกิจร่วงหน้าแล้ว ยังช่วยให้เรียนหนังสือในชั้นเรียนตามปกติดียิ่งขึ้นด้วย เพราะนักศึกษา Pre-degree ส่วนใหญ่เมื่อ จบ ม.ปลาย แล้วก็มาเรียนต่อรามฯต่อ ใช้เวลาเพียงอีก 1-2 ปี ก็จบปริญญาตรี ขณะที่เพื่อนๆ เพิ่งเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาก็เรียนจบแล้ว แถมบางคนเรียนต่อปริญญาโทต่อทันที หรือบางคนก็ได้งานทำทันทีเช่นกัน
เชื่อความนิยมเพิ่มขึ้นทุกปี
รองศาสตราจารย์วัชรากรณ์ ชีวโศภิษฐ ผู้อำนวยการสำนักบริการวิชาการและทดสอบประเมินผล(สวป.) เปิดเผยว่า การเปิดโอกาสทางการศึกษาตามนโยบายของทางมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดย รศ.รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดี โดยเปิดการเรียนแบบรายกระบวยวิชา เพื่อเตรียมศึกษาปริญญาตรี หรือ Pre-degree คือการเข้าเรียนระดับปริญญาตรีก่อนกำหนดเวลา สำหรับผู้ที่จบการศึกษาชั้น ม.ต้น หรือกำลังศึกษาอยู่ระดับชั้น ม.ปลาย เรียนควบคู่กันไปกับที่รามคำแหงสะสมหน่วยกิจไว้ก่อน พอเรียนจบชั้น ม.ปลาย สามารถสมัครใหม่เพื่อใช้สิทธิ์เทียบโอนหน่วยกิจที่สะสมไว้ทั้งหมดแล้วมาเรียนต่อปริญญาตรีให้ครบตามหน่วยกิจที่กำหนดไว้ ซึ่งทำให้เรียนจบระดับปริญญาตรีเร็วขึ้นและประหยัดเวลา เพราะนักศึกษาบางคนสามารถสะสมหน่วยกิจไว้ได้จำนวนกว่า 100 หน่วยกิจ เมื่อเข่ามาเรียนต่ออีกไม่นานก็สามารถสำเร็จการศึกษา
“ความนิยมของระบบ Pre-degree มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปีจากเมื่อปี 2537 มีนักศึกษาเพียง 349 คน ถึงปี 2550 มีจำนวนถึง 10,843 คน และปี2551 มีจำนวน 11,094 คน จากสถิติมีนักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกปี ตามนโยบายของมหาวิทยาลัย รศ.คิม ไชยแสนสุข อธิการบดี ม.ร. ยังให้ดำเนินการรับสมัครนักศึกษา ระบบ Pre-degree อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยที่เป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนคนไทยและเปิดโอกาสให้นักเรียนที่รู้ว่าตนเองมีศักยภาพในการเรียน และมีความสนใจเรียนในระดับที่สูงสามารถเลือกเรียนได้ตามที่ตนต้องการ”
ผอ.สวป. กล่าวต่อไปว่า จุดเด่นของระบบ Pre-degree คือเมื่อนักศึกษาลงทะเบียนเรียนแล้ว มหาวิทยาลัยไม่ได้กำหนดเวลาหรือบังคับให้เข้าเรียน แต่ต้องลงทะเบียนและมาสอบให้ผ่านตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการเรียนจบปริญญาตรีให้เร็วขึ้น หลายคนที่ต้องทำงานไปด้วยจะได้มีเวลาทำประโยชน์ในชีวิตมากขึ้น เพราะถ้านักศึกษาสอบผ่านและสะสมหน่วยกิจไว้ได้จำนวนมากแล้ว เมื่อมาเรียนปริญญาตรีอีกเพียง 1ปีก็สามารถเรียนจบได้ทันที จบได้ก่อนเพื่อนที่เรียนตามปกติ ที่สำคัญเรียนที่รามคำแหงค่าหน่วยกิตถูก และเลือกเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ได้หลายเส้นทาง ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ทำให้นักศึกษาได้มีเวลาที่จะไปทำสิ่งอื่นๆ ในชีวิตให้ตนเองได้อีกมาก
“รามคำแหงให้โอกาสทางการศึกษาแก่ทุกคนและไม่จำกัดว่าเป็นใคร ขอเพียงมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด เปิดให้ทุกคนได้เรียนหนังสือ ถ้าคิดอยากจะเรียนก็เข้ามาได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรียนระบบ Pre-degree หรือเรียนภาคปกติ เพราะสถาบันนี้มีการเรียนแบบสหวิทยาการ(disciplinary) ทุกวิชาที่เปิดสอนเรียนเป็นหลักสูตรเดียวกัน อาจารย์ท่านเดียวกัน และมีมาตรฐานที่เหมือนกัน ขอให้เชื่อมั่นในการเรียนการสอนทุกระบบที่ให้โอกาสทางการศึกษาของรามคำแหง โดยเฉพาะระบบ Pre-degree

นายธงทอง นิพัทธรุจิ บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ สำเร็จการศึกษาจากระบบ Pre-degree อายุ 19 ปี และเนติบัณฑิตไทย ด้วยอายุเพียง 20ปี กล่าวว่า สิ่งดีๆและโอกาสที่ได้รับจากการเรียนระบบ Pre-degree พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นระบบที่คุณภาพ เป็นทางเลือกที่ดีและสามารถสร้างผมให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ดังคำที่ว่า “เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง” เป็นคำที่ไม่มีวันตายและเป็นคำที่แสดงให้เห็นว่า รามคำแหงเป็นเวทีที่สามารถเข้ามาพิสูจน์ตนเอง และบัณฑิตที่จบจากรามคำแหงล้วนเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรมสามารถไปศึกษาต่อสถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยครับ
นางสาววนิดา ริพา บัณฑิตคณะมนุษย์ศาสตร์ เกียรตินิยมเหรียญทอง สาขาภาษาจีน
“อาจารย์สอนภาษาจีนทุกท่านล้วนใจดี และยินดีให้คำปรึกษาแก่ลูกศิษย์ทุกคน ขอรับรองว่าหลักสูตรจีนศึกษาและภูมิความรู้ของอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงโดดเด่นไม่น้อยไปกว่าสถาบันอื่นและคนที่จบจากรามคำแหงสามารถปรับตัวให้เข้ากับการทำงานได้ดีกว่าคนที่จบจากสถาบันอื่น เนื่องจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงแหงสอนให้เรารู้จักช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง โดยระบบการเรียนที่มีลักษณะไม่บังคับเรียนแต่ตัวเราเองที่ต้องบังคับตัวเองให้ได้ อยากให้ทุกคนมุ่งมั่นความสำเร็จไม่ไกลเกินฝันค่ะ”
ยุพเรศ วิชายะ นักเรียน Pre-degree อายุ 19 ปี คณะรัฐศาสตร์สะสมได้ 106 หน่วยกิต
“รามคำแหงเปิดการเรียนการสอนให้นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.ปลายได้เรียนมหาวิทยาลัยก่อนใครด้วยระบบ Pre-degree ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสที่จะจบการศึกษาระดุบปริญญาตรีได้เร็วกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน สามารถจบปริญญาตรีได้ในขณะอายุยังน้อย และทำให้มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับสูงต่อไปได้เร็วขึ้น ตั้งใจว่าจะเรียนให้จบปริญญาตรีภายใน 1ปี และจะเรียนต่อระดับปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ที่รามคำแหงด้วยค่ะ”